“ย่าสอนหนูกับน้องเสมอว่า ให้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนจะได้เรียนสูงๆ
เพราะย่าเรียนมาน้อย เลยต้องลำบาก ท่านไม่อยากให้หนูกับน้องลำบาก”
พ่อกับแม่ของเธอไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะต้องออกไปทำงานรับจ้างนอกพื้นที่อยู่เสมอ ย่าจึงเป็นคนเดียวที่คอยเลี้ยงดูเด็กๆ ทั้ง 4 คน โดยมีรายได้จากการทำข้าวต้มมัด และข้าวเหนียวปิ้ง เพื่อขายส่งให้กับแม่ค้าในตลาด ได้กำไรประมาณวันละ 150-200 บาท ซึ่งย่าจะเก็บไว้เป็นค่ากับข้าว ค่านมผง และค่าขนมไปโรงเรียนของหลานๆ เพราะลำพังรายได้จากการรับจ้างของพ่อและแม่ของน้องนํ้านั้นไม่แน่นอน และบางทีก็ไม่พอกับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน โดยทุกวันหลังเลิกเรียน และในวันเสาร์อาทิตย์ นอกจากจะช่วยทำงานบ้าน และดูแลน้องๆ แล้ว นํ้าจะช่วยย่าทำขนมอยู่เสมอ แต่หากวันไหนที่ย่าไม่สบายทำขนมไม่ไหว เธอก็จะไม่มีเงินไปโรงเรียน
เด็กหญิงศิริพร หรือน้องน้ำ และนางระย้า ผู้เป็นย่า
แม้จะขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่เธอก็เข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดพ่อแม่จึงต้องทำงานหนัก และไม่เคยเก็บมาเป็นปมด้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เธอขยันเรียนหนังสือมากขึ้นเพื่อจะได้เป็นหมออย่างที่ฝันไว้ มีเงินมาส่งให้น้องๆ ได้เรียนสูงๆ และช่วยเหลือครอบครัวให้ หลุดพ้นจากความยากจน เธอจึงตัดสินใจสมัครขอรับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ EDF เพื่อเรียนต่อในระดับ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในปีการศึกษา 2557 ที่จะมาถึงนี้
ในวันนี้ “นํ้า” และเด็กยากไร้อีกจำนวนมากที่กำลังต่อสู้กับชะตากรรม และความยากไร้ ต้องการมากกว่า “ความเห็นใจ” หรือ “ความสงสาร” นั่นคือ “ความช่วยเหลือ” จากใครสักคนที่จะให้โอกาสที่จะทำให้พวกเขามี “อนาคตที่ดีขึ้นจากการศึกษา”

สภาพบ้านของน้องน้ำ ที่ตั้งอยู่กลางหนองน้ำ และแทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆภายในบ้าน
|