THA  ENG   JPN
หน้าหลัก > เรื่องจริงของเด็กนักเรียนทุน EDF > "จดหมายที่เราอยากให้คุณอ่าน"
"จดหมายที่เราอยากให้คุณอ่าน"
ในระหว่างการตรวจสอบเอกสารเพื่อติดตามสถานะปัจจุบันของน้องๆที่ยังไม่ได้รับทุนการศึกษา เราได้มีโอกาสพบกับใบสมัครขอรับทุนพร้อมจดหมายสองฉบับ จากน้องจุ้น เด็กชายกาจร แซ่หลิว และน้องไหม เด็กหญิงกิตติมา คงจันทร์ สองพี่น้องต่างบิดา วัย 15 ปี และ 12ปี  จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเรื่องราวความสูญเสียที่สื่อสารผ่านตัวหนังสือของพวกเขาทั้งสองคน ทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราว “จดหมายที่เราอยากให้คุณอ่าน” ที่เราคัดลอกมาจากต้นฉบับจดหมาย ของน้องจุ้นและน้องไหม จะสามารถเป็นตัวแทนของความสูญเสียของเด็กๆ และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดีค่ะ


 

กระผมชื่อเด็กชายกาจร แซ่หลิว เกิดเมื่อวันที่  ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ซึ่งขณะนั้นแม่ของผมชื่อสมจิตร เอ๋งม่อ ได้แต่งงานกับพ่อของผมชื่อนายอาฮ๋อง แซ่หลิว เป็นคนจีนชาวมาเลเซีย พ่อดีใจมากที่ผมเกิดมาเป็นผู้ชายเพราะพ่อเป็นคนจีน จึงต้องการให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชาย พ่อกับแม่รักผมมาก เลี้ยงดูผมอย่างดีที่สุด แต่ในขณะนั้นพ่อป่วยป็นโรคผิวหนังต้องหาหมอตลอด และวันที่ผมต้องพลัดพรากจากพ่อก็มาถึง ผมอายุได้หนึ่งขวบเศษ พ่อก็ต้องจากผมไป พ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งผิวหนัง
 

ต่อมาแม่ก็พาผมกลับมาอยู่บ้านเดิมของแม่ในอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี และต้องทำมาหากินตามประสา แม่ประกอบอาชีพขายอาหารเล็กๆน้อยๆ ส่วนตัวผม แม่ก็ฝากน้าช่วยเลี้ยงดูในเวลาที่แม่ต้องทำงาน เมื่อผมอายุประมาณสามขวบ แม่แต่งงานใหม่กับนายบุญชู คงจันทร์ ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของผมในปัจจุบัน อยู่กินกันอย่างมีความสุข พ่อบุญชูไม่รังเกียจผมเลยที่ผมเป็นลูกติดของแม่ แม่และพ่อบุญชู มีลูกด้วยกันหนึ่งคน เป็นผู้หญิง ในช่วงนั้นผมมีความสุขมาก ในครอบครัวมีพ่อ แม่ ผม และมีน้อง ถึงแม้พ่อบุญชูจะไม่ใช่พ่อแท้ๆของผม แต่ก็พ่อก็รักผมมาก รักเสมอต้นเสมอปลาย รักมาตลอด ถึงแม้พ่อจะมีน้อง ซึ้งเป็นลูกแท้ๆของพ่อ แต่พ่อยังรักผมเหมือนเดิม ผมเทิดทูนในน้ำใจของพ่อมาก ผมมีความสุขมีความอบอุ่นในครอบครัวได้ไม่นาน เมื่อผมอายุสี่ขวบ น้องอายุหนึ่งขวบ พ่อบุญชูได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม เพราะชนกองดินข้างทาง ซึ่งกำลังก่อสร้างถนน ทำให้พ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังพ่อบุญชูหัก ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ ในช่วงนั้น ครอบครัวลำบาก เพราะน้องก็เล็ก ปู่ย่า และอาต้องช่วยกันดูแลผมกับน้อง เพราะแม่ต้องดูแลพ่อที่โรงพยาบาล ในที่สุด พ่อก็ต้องกลายเป็นคนพิการท่อนล่าง หมอไม่สามารถช่วยพ่อได้ พ่อต้องนั่งรถเข็นตลอด ผมสงสารพ่อกับแม่มาก แต่ไม่สามารถจะช่วยเหลือพวกท่านได้เพราะผมยังเด็กมาก ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ต้องเป็นเด็กดี ต้องช่วยในสิ่งที่ผมทำได้มากที่สุด เมื่อพ่อกลับจากโรงพยาบาล พ่อก็ต้องใช้ชีวิตแบบคนพิการ คือ ต้องอยู่บนรถเข็นตลอด วันเวลาผ่านไปพ่อก็เริ่มได้กลับชีวิตแปรผัน และสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้งหนึ่ง

 

แต่แล้วโชคชะตาก็โหดร้ายกับผมอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ ในขณะที่ทุกคนในครอบครัว นั่งพักผ่อนที่หน้าบ้านพักและมีเพื่อนบ้านมานั่งคุยด้วยเวลาประมาณ ๑๘.๒๐ น ได้มีผู้ชายสี่คน ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าบ้านพัก และลงมากระหน่ำยิงทุกคน ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ขณะนั้นผมอยู่ในบ้านได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ผมวิ่งออกมาดู เห็นแม่นอนจมกองเลือดอยู่ และเพื่อนของพ่อก็นอนจมกองเลือด อาขอผมบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างบ้าน ส่วนพ่อบุญชู ล้มฟุบอยู่บนแคร่ไม้ ผมวิ่งเข้าไปกอดแม่ เรียกแม่หลายครั้ง แต่แม่ก็ไม่ขานตอบผมเลย ผมตกใจมาก และกลัวมาก ผมมารู้ทีหลังว่าแม่จากผมไปแล้ว
 

ทำไมโชคชะตาจึงเล่นงานผมอย่างไม่ปราณีเลย จากวันนั้นมา ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบเหงา ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะรักผมมากแค่ไหน ผมก็อดที่จะเหงาและคิดถึงแม่ไม่ได้ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีกับผมมากเหมือนกัน ครอบครัวของพ่อบุญชูให้ความรัก และเอื้ออาทรกับผมมาก ทั้งๆที่เมื่อแม่จากไปแล้ว ผมก็ไม่มีส่วนอะไรในครอบครัวนี้เลย แต่พ่อบุญชูและทุกคน ก็ยังให้ความรักความห่วงใยผมตลอดมา เหมือนผมเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของท่าน อย่างแท้จริง ผมขอสัญญาว่า ชีวิตนี้ผมจะต้องตอบแทนบุญคุณ พ่อบุญชู และทุกคนครับ 


 


ดิฉันชื่อกิตติมา คงจันทร์ เกิดวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๓ เป็นลูกคนที่สองของแม่ และเป็นลูกคนแรกของพ่อ ดิฉันรับรู้มาตลอดว่า ดิฉันมีพี่ชายชื่อ เด็กชายกาจร แซ่หลิว เราสองคนพี่น้องรักกันมากถึงแม้เราจะเป็นลูกคนละพ่อก็ตาม แต่เราไม่เคยคิดถึงจุดนั้นเลย เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และวันหนึ่ง ดิฉันอายุหนึ่งขวบเศษ พ่อของดิฉันได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม พ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังของพ่อหัก แม่และย่าต้องส่งตัวพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ และหมอก็ได้ผ่าตัดหลังของพ่อ ดิฉันสงสารพ่อมาก พ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน แต่หมอก็ไม่สามารถช่วยพ่อได้ พ่อต้องกลายเป็นคนพิการ เดินไม่ได้ร่างกายท่อนล่างไม่มีความรู้สึกเลย พ่อต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตลอด แต่พ่อเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา จึงไม่ย่อท้อและหมดกำลังใจ ที่จะดำเนินชีวิตต่อไป พ่อยังมีคนรอบข้างที่ยังรักพ่อมากที่สุด ทุกคนคอยให้กำลังใจตลอดเวลา และครอบครัวของเราก็ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
 
แต่วันหนึ่งที่ไม่มีใครคาดคิดในสถานการณ์ความไม่สงบในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๘.๒๐ น ครอบครัวของดิฉันทุกคนอยู่หน้าบ้านพัก และมีเพื่อนของพ่อมานั่งคุยด้วย จู่ๆมีผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน และเดินลงมากระหนำยิงทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ดิฉันได้ยินเสียงปืนตกใจมาก วิ่งออกมาเห็นแม่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าบ้าน เพื่อนของพ่อก็นอนจมกองเลือด อาของดิฉันบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างบ้าน ส่วนพ่อฟุบอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ดิฉีนวิ่งเข้าไปกอดแม่ เรียกแม่เท่าไรแม่ก็ไม่ขานตอบ ดิฉันได้รับรู้ในตอนหลังว่า แม่ได้จากดิฉันไปแล้ว ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิต
 
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของดิฉันก็มีแต่ความโศกเศร้าคิดถึงแม่มาก แต่ก็พยายามสู้และดำเนินชีวิตต่อไป ดิฉัน พยายามทำงานทุกอย่างที่แม่เคยทำเท่าที่เด็กวัยดิฉันทำได้ ช่วยดูพ่อที่พิการ ดิฉันจะทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด จะดูแลพ่อแทนแม่ให้มากที่สุด แม่จะอยู่ในดวงใจของลูกเสมอ ดิฉันรักทุกคนค่ะ

2012-07-02 | เรื่องจริงของเด็กนักเรียนทุน EDF | เปิดอ่าน 31711

ลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสาร EDF

มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา(EDF)
594/ 22 พาทิโอ เรสซิเดนซ์ รัชโยธิน ซอยพหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทร: 02-579-9209 ถึง11 | Line: @edfthai | อีเมล์: [email protected]
Connect with EDF        
มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาเป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255
ทุกการบริจาคผ่าน มูลนิธิฯ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีตามกฎหมาย
© 2011 EDF-Thailand